วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ตำนานแม่นาคญี่ปุ่น


ตำนานแม่นาคญี่ปุ่น


รูปภาพประกอบ : ตำนานแม่นาคญี่ปุ่น
Yotsuya Kaidan หรือ ตำนานของ Oiwasan ถูกสร้างเป็นละคร หนัง อนิเมะ หลายครั้งหลายคราเป็นตำนานผีที่โด่งดังที่สุดในญี่ปุ่น หากลองถามคนญี่ปุ่นว่าผีตัวไหนของญี่ปุ่นน่ากลัวที่สุด รับรองได้ว่าชื่อของ Oiwasan ต้องเป็นชื่อแรก ๆ ที่คนญี่ปุ่นนึกถึงอย่างแน่นอน

ใน ระหว่างช่วงสมัยเอโดะ มีผู้หญิงที่เพียบพร้อมทั้งความสวย และจิตใจดี และเป็นที่โจษขานกันถึงความงามของเธอ นามของเธอ คือ "Oiwa" Oiwa มีชายหนุ่มมากมายที่หมายปองเธอ แต่เธอก็เลือกซามูไรหนุ่มที่ชื่อ Iemon Tamiya มาเป็สามี แต่หารู้ไม่ว่าการตัดสินใจเลือกแต่งงานกับผู้ชายคนนี้ "เธอคิดผิด" สามีของเธอรักเธอในช่วงแรก ๆ เท่านั้น แต่หลังจากที่สภาพทางการเงินของครอบครัวไม่สู้ดีนัก Iemon ก็เกิดไปตกหลุมรักกับลูกสาวเศรษฐีเข้า ในขณะเดียวกัน Oiwa ก็เพิ่งคลอดลูก ลูกสาวเศรษฐีและสามีของเธอจึงคิดจะกำจัดก้างขวางคออย่าง Oiwa

หญิง ชู้ได้ใช้ให้ Iemon เอายาพิษที่กินแล้วจะทำให้เสียโฉมให้ Oiwa กิน แล้วหลอกว่าเป็นยาบำรุงหลังคลอดลูก Oiwa ได้ดื่มยาพิษนั่นและทำให้หน้าของเธอเสียโฉม ตาของเธอปูดโปนขึ้น เมื่อเธอรู้ถึงแผนชั่วของหญิงชายคู่นั้นเธอก็แค้นมากและฆ่าตัวตายในบึงน้ำ Oiwa (บางตำนานบอกว่า Iemon เป็นคนฆ่าเธอแล้วโยนลงไปในบึง) หลังจากนั้น Iemon ก็ย้ายไปอยู่บ้านของเศรษฐี (ภาพ ศาลเจ้า Oiwa-Inari Tamiya Jinja)

วัน หนึ่งวิญญาณของเธอโผล่ขึ้นมากลางบ้านพร้อมกับเสียงโหยหวน และคร่ำครวญของเธอ เป็นที่น่าขนลุก Iemon ก็คว้าดาบซามูไรประจำกายแทงเข้าไปที่เงาของ Oiwa แต่แล้วเมื่อร่างนั้นล้มลง กลับกลายเป็นร่างของลูกสาวเศรษฐีชู้รักของตน เมื่อเศรษฐีเข้ามาดูร่างของเศรษฐีก็กลายร่างเป็น Oiwa ที่น่าตาหน้าเกลียด Iemon ก็คว้าดาบฟันเข้าไปที่ร่างนั้นแต่แล้วร่างนั้นก็กลายเป็นร่างของเศรษฐี เขาได้หนีกลับไปอยู่บ้านของตัวเองแต่แล้วก็โดนเชือกที่ห้อยอยู่กลางบ้านพัน เข้าที่คอ เขาได้คว้าดาบขึ้นมาพยายามตัดเชือกแต่พลาดไปโดนคอของตัวเองและสิ้นใจตายใน ที่สุด

เรื่องของ Oiwa มีการเล่าขานกันมานานและมีเรื่องราว ๆ คล้าย ๆ กัน บางตำนานบอกว่า Oiwa นั้นเกิดมาก็น่าตาอัปลักษณ์ และเป็นลูกสาวเศรษฐี แต่พอแต่งงานกับ Iemon เธอก็ได้รับชะตากรรมอย่างเดียวกับเรื่องที่ได้เล่าไป Oiwasan เป็นผีตนหนึ่งของญี่ปุ่นที่เรียกว่าติดอันดับต้น ๆ ของผีที่คนญี่ปุ่นกลัวที่สุด

ยังมีตำนานบอกว่าหากใครได้นำเรื่องของ เธอมาสร้างเป็นหนัง หรือละครก็จะต้องไปไหว้ศาล Oiwa-Inari Tamiya Jinja ที่อยู่ในโตเกียว ที่นั่นสุสานของ Oiwasan และได้เขียนไว้ว่าวันตายของเธอคือ 22 กุมภาพันธ์ ปี 1963 ตำนานเรื่องนี้มีสถานที่หลาย ๆ แห่งที่มีอยู่จริงเรียกได้ว่า เป็น "แม่นาค" แห่งกรุงโตเกียวก็ว่าได้

ตำนานศุกร์13


ตำนานศุกร์13


รูปภาพประกอบ : ตำนานศุกร์13
ตำนานศุกร์13

เมื่อ เอ่ยถึงวันศุกร์ 13 นั้นหลาย ๆ คนอาจจะนึกไปถึงวันแห่งอาถรรพ์ เพราะเคยมีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งใช้ชื่อว่า ศุกร์ 13 ฝันหวาน แต่เป็นภาพยนตร์สยองขวัญ ในขณะที่อีกหลาย ๆ คนอาจจะยังไม่ทราบความเป็นมาว่า ทำไมวันศุกร์ 13 ถึงเป็นวันที่ไม่ดี


ว่า กันว่าความเชื่อที่ว่าถ้าวันศุกร์เกิดไปตรงกับวันที่ 13 ของเดือนใดก็ตามแล้ว จะกลายเป็นวันแห่งความโชคร้ายนั้นเป็นความเชื่อของชาวตะวันตก โดยต้นตอแห่งความเชื่อนี้มาจาก อาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซู (The Last Supper) โดยเชื่อกันว่าในอาหารมื้อนั้นมีผู้ร่วมรับประทานอาหารกับพระองค์ 13 คนก่อนที่พระองค์จะถูกนำตัวไปตรึงบนไม้กางเขนใน วันศุกร์ประเสริฐ (Good Friday)

ในขณะที่มีอีกความเชื่อหนึ่งกล่าวว่าวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 1307 เป็นวันที่พระเจ้าฟิลิปที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ทำการจับกุมตัวบรรดาอัศวินเทมพลาร์ชาวฝรั่งเศสจำนวนหลายร้อยคนไป ก่อนจะนำตัวไปทรมานและสังหาร เพื่อนำทรัพย์สินของพวกเขามาเป็นของฝรั่งเศส

ทั้ง นี้นักจิตวิทยาพบว่า ในบางคนจะมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุหรือล้มป่วยในวันศุกร์ที่ 13 ซึ่งมีการให้เหตุผลเอาไว้ว่าเป็นเพราะบางคนรู้สึกวิตกจริตเป็นอย่างมากในวัน ศุกร์ที่ 13 โดยทางศูนย์จัดการความเครียดและสถาบันอาบำบัดการกลัวในเมืองแอชวิลล์ มลรัฐนอร์ทแคโรไลนา ประเมินว่าในแต่ละครั้งที่มีวันศุกร์ที่ 13 สหรัฐอเมริกาต้องสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นเงิน 800 - 900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทีเดียว เพราะว่าประชาชนบางคนไม่กล้าเดินทางไปไหนและไม่กล้าแม้แต่จะไปทำงาน


จน ทำให้เกิดโรคกลัววันศุกร์ที่ 13 มีชื่อเรียกว่า Paraskavedekatriaphobia หรือ paraskevidekatriaphobia หรือfriggatriskaidekaphobia ซึ่งเป็นอาการหนึ่งของโรค triskaidekaphobia คือ โรคกลัวหมายเลข 13

และ ที่มาที่ทำให้วันศุกร์ 13 กลายเป็นวันโชคร้ายไปทั่วนั้นน่าจะมาจากภาพยนตร์สยองขวัญอย่าง ศุกร์ 13 ฝันหวาน หรือ "Friday the 13th" ซึ่งเรื่องเกี่ยวกับฆากรต่อเนื่องในสหรัฐอเมริกา ซึ่งตัวเอกของเรื่องมีเอกลักษณ์เด่นคือการสวมหน้ากากฮ็อกกี้ เพื่อปกปิดใบหน้า ก่อนทำการฆาตกรรมเหยื่อ

สำหรับความเชื่อเรื่อง ศุกร์ 13 เป็นวันไม่ดีนั้นส่วนใหญ่จะเชื่อกันในหมู่ชาวตะวันตกเสียเป็นส่วนมาก ซึ่งเรื่องแบบนี้นั้นถือเป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคล

หนุ่มเชียงรายช็อก! กดติด 'วิญญาณสาว'


หนุ่มเชียงรายช็อก! กดติด 'วิญญาณสาว'


รูปภาพประกอบ : หนุ่มเชียงรายช็อก! กดติด 'วิญญาณสาว'

หนุ่มเชียงรายช็อก! กดติด 'วิญญาณสาว' กูรูฟันธงภาพตัดต่อ


ช็อก! หนุ่มเชียงรายกดติดวิญญาณสาวผมยาวในห้องพัก เผยขณะนั่งดูทีวีมีลำแสงสีขาวพุ่งเข้าไปที่ด้านหลังทีวีจึงหยิบบีบีขึ้นมา ถ่ายพบเป็นภาพหญิงสาวดังกล่าว ยันไม่ได้ตัดต่อ สามารถตรวจสอบได้ ด้านกูรูช่างภาพฟันธงภาพถูกตกแต่งมาก่อน...

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 1 ส.ค. ที่ สภ.เมืองเชียงราย ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจาก พ.ต.ต.ผดุงพล กิจชนะไพบูลย์ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองเชียงรายว่า มีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปในห้องนอนมีภาพหญิงสาวผมยาวติดมา คาดเป็นวิญญาณสาว จึงรุดไปตรวจสอบ ทราบชื่อนายเกริกศักดิ์ มีบุญ อายุ 24 ปี อยู่บ้านเลขที่ 869/166 ต.รอบเวียง อ.เมือง จ.เชียงราย ได้นำโทรศัพท์มือถือมาเปิดรูปให้ดูพบเป็นรูปถ่ายภายในห้องนอนมีภาพหญิงสาวผม ยาวสวมชุดนอนสีขาวยืนอยู่รางๆหน้าทีวี สร้างความฮือฮา และประหลาดใจให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นอย่างมาก

นายเกริกศักดิ์ กล่าวว่า มีอาชีพพนักงานร้านอาหารเมื่อคืนที่ผ่านมาเวลาประมาณตี 1 ขณะนั่งดูทีวีปรากฏว่ามีลำแสงสีขาวพุ่งเข้าไปด้านหลังทีวีจึงเกิดความสงสัย ใช้มือถือบีบีถ่ายรูปเอาไว้ดูเล่น แต่พอเปิดออกมาดูต้องตกใจเพราะมีรูปหญิงสาวผมยาวยืนอยู่หน้าทีวีจึงตกใจมาก ปิดมือถือไหว้พระนอน จนกระทั่งเช้าจึงนำเอามาให้เพื่อนๆ ดูจนสร้างความฮือฮา อย่างไรก็ตาม ตนจะไปทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับคนในภาพเนื่องจากน้องสาวเพิ่งถูกรถชน ได้รับบาดเจ็บมาเมื่อ 5 วันก่อนด้วย


ด้าน พ.ต.ต.ผดุงพล กล่าวว่า เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องแปลกมาก จากการสอบถามนายเกริกศักดิ์ เจ้าของมือถือได้ยืนยันว่าเป็นภาพที่ถ่ายในห้องพักจริงสามารถไปตรวจสอบดูได้ และไม่ใช่ภาพตบแต่งหรือโหลดมาจากที่อื่น จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะมาหลอกลวงเพื่อนๆ หรือตำรวจบนโรงพัก การถ่ายภาพมีหญิงสาวหรือวิญญาณติดมานั้นมีเป็นข่าวบ่อยๆ เป็นเรื่องที่ไม่อาจจะพิสูจน์ได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้หากไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ ตนจึงแนะนำให้ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับวิญญาณในภาพถ่ายแล้ว

อย่าง ไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์ไปสอบถามผู้เชี่ยวชาญด้านภาพ ถึงภาพหญิงสาวที่ปรากฏในข่าว เนื่องจากมีลักษณะคล้ายกับภาพยนตร์ชื่อดัง ซึ่งได้รับการยืนยันว่าภาพดังกล่าวคาดว่าจะถูกตกแต่งภาพมาก่อน.


ข้อมูลจาก ไทยรัฐ

13 สุดยอดภาพวาดที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก

13 สุดยอดภาพวาดที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก

13 สุดยอดภาพวาดที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
1. ภาพวาดชื่อ Mona Lisa (เมื่อปี 1503-1507) โดยศิลปินที่มีชื่อของโลก Leonardo da Vinci ในปัจจุบันภาพเขียน Mona Lisa อยู่ในความครอบครองของรัฐบาลฝรั่งเศสและแขวนไว้ที่พิพิธภัณฑ์ the Musee du Louvre ในกรุงปารีส โดยมีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา ซึ่งติดกระจกกันกระสุนไว้หลายชั้น ประมาณกันว่าภาพนี้มีมูลค่า 690 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยคิดจากมูลค่าที่บริษัทประกันให้ไว้ในปี 1962 ที่ราคา 100 ล้านเหรียญสหรัฐ (คิดปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อจนถึงมูลค่าปัจจุบัน)
   
13 สุดยอดภาพวาดที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
2. ภาพวาดชื่อ No.5,1948 (เมื่อปี 1948) โดยศิลปิน Jackson Pollock ซึ่งภาพนี้ถูกขายครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ปีที่แล้ว ในราคา 140 ล้านเหรียญสหรัฐ ขายโดยนาย David Geffen ให้กับนาย David Martinez โดยไม่ได้ผ่านการประมูล
   
13 สุดยอดภาพวาดที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
3. ภาพวาดชื่อ Woman III (เมื่อปี 1953) โดยศิลปิน Willem de Kooning ซึ่งภาพนี้ถูกขายครั้งล่าสุดเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปีที่แล้ว ในราคา 137.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ขายโดยนาย David Geffen ให้กับนาย Steven A.Cohen
   
13 สุดยอดภาพวาดที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
4. ภาพวาดชื่อ Portrait of Adele Bloch -Bauer I (เมื่อปี 1907) โดยศิลปิน gustav klimt ขายในราคา 135 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ปีที่แล้ว โดยขายให้กับนาย Ronald Lauer พิพิธภัณฑ์ Neue Galerie ที่ New York ภาพนี้เป็นภาพของ Adele Bloch-Bauer ซึ่งเป็นภรรยาของนักอุตสาหกรรมผลิตน้ำตาลชาวยิวชื่อ Ferdinand Bloch-Bauer
   
13 สุดยอดภาพวาดที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
5. ภาพวาดชื่อ Portrait of Dr. Paul Gachet (เมื่อปี 1890) โดยศิลปิน Vincent Van Gogh ภาพนี้ถูกขายครั้งล่าสุดที่ราคา 82.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ปี 1990 (ซึ่งถ้าปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อ ภาพวาดนี้ควรจะมีราคาอย่างน้อย 130 ล้านเหรียญสหรัฐ) ภาพนี้ถูกขายให้กับนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น Ryoei Saito ซึ่งภาพวาดนี้เป็นภาพวาดที่ดีที่สุดภาพหนึ่ง ที่วาดโดยสุดยอดศิลปินแบบ Impressionism ชาวฮอลแลนด์ Vincent Van Gogh ซึ่งผู้ซื้อ Ryoei Saito เคยประกาศว่า จะนำเอาภาพวาดนี้ฝังรวมกับศพของเขา หลังจากที่เขาเสียชีวิตแล้ว สุดท้าย Saito ได้เสียชีวิตเมื่อปี 1996 โดยที่ไม่มีผู้ใดเห็นภาพวาดนี้อีกเลย สาเหตุที่ Saito ประกาศเช่นนั้น อาจเป็นเพราะภาษีมรดกที่ประเทศญี่ปุ่น มีอัตราสูงมาก ทำให้เกรงว่าลูกๆ จะไม่มีเงินที่จะเสียค่าภาษี
   
13 สุดยอดภาพวาดที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
6. ภาพวาดชื่อ Bal au moulin de la Galette, Montmartre (เมื่อปี 1876) โดยศิลปิน Pierre -Auguste Renoir เป็นภาพที่แสดงให้เห็นถึงหญิงสาว 2 คน เต้นรำด้วยความสนุกสนานร่าเริง เป็นภาพวาดในช่วงต้นๆ แบบ Impressionism ของ Renoir ภาพนี้ได้จัดแสดงครั้งแรกในการแสดง Third Impressionist Exhibition ในปี 1877 ภาพนี้มี 2 เวอร์ชั่น ภาพใหญ่อยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Mu?e ? Orsay ในกรุงปารีส ส่วนเวอร์ชั่นภาพเล็กถูกขายเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ปี 1990 ใน New York ให้กับ Ryoei Saito ราคา 78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เมื่อปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อแล้ว ภาพนี้น่าจะมีมูลค่าอย่างน้อย 123 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งก็เป็นภาพที่ Ryoei Saito ขู่ว่าจะเผาพร้อมกับศพของเขาเช่นกัน
   
13 สุดยอดภาพวาดที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
7. ภาพวาดชื่อ Gar?on ? la pipe แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า "Boy with a pipe" (เมื่อปี 1905) โดยศิลปิน Pablo Picasso ในช่วง 24 ปีของ Rose Period ที่มีชื่อเสียง ซึ่งช่วงนั้น Picasso ชอบสีส้ม และสีชมพูที่ร่าเริง เป็นภาพสีน้ำมันบนผ้าใบที่แสดงถึงเด็กชาย Parisian ถือไปป์ในมือซ้าย ภาพวาดนี้ถูกขายที่ราคา 104.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ซึ่งถ้าปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อ น่าจะมีมูลค่าอย่างน้อย 112 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยถูกขายเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม ปี 2004 ให้กับ J.Paul ที่ Getty Museum ในกรุง Los Angeles
   
13 สุดยอดภาพวาดที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
8. ภาพวาดชื่อ Irises (เมื่อปี 1889) โดยศิลปิน Vincent van Gogh ซึ่งเป็นภาพวาดที่วาดในขณะที่เขาลี้ภัยที่ Saint Paul de-Mausole ใน Saint -Rmy -de-Provence ในฝรั่งเศส ในปีสุดท้ายก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในปี 1890 ภาพวาดนี้ถูกขายเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 1987 ราคา 54 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ซึ่งถ้าปรับตามอัตราเงินเฟ้อจะมีมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ภาพวาดนี้ถูกขาย ให้กับ Alan Bond ซึ่งต่อมา Alan Bond ไม่มีเงินจ่ายจึงขายต่อให้กับ Getty Museum ในกรุง Los Angeles
   
13 สุดยอดภาพวาดที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
9. ภาพวาดชื่อ Dora Maar au Chat แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า "Dora Maar with Cat" (เมื่อปี 1941) โดยศิลปิน Pablo Picasso ซึ่งเป็นภาพ ของ Dora Maar ผู้ซึ่งเป็นแฟนคนหนึ่ง (ในหลายๆ คน) ของ Picasso นั่งอยู่ บนเก้าอี้ โดยมีแมวตัวเล็กๆ อยู่บนไหล่ของเธอ ภาพนี้วาดในแบบ Cubist ที่มีชื่อเสียงของ Picasso ภาพนี้ขายครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ปีที่แล้ว ที่ราคา 95.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเกินกว่าราคาประเมินในช่วงก่อนการประมูลที่ตั้งไว้ที่ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
   
13 สุดยอดภาพวาดที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
10. ภาพวาดชื่อ Portrait de ?artiste sans barbe แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า "Self-portrait without beard" (เมื่อปี 1889) โดยศิลปิน Vincent van Gogh เป็นภาพวาดที่ van Gogh วาดให้กับแม่ของเขาก่อนที่จะเสียชีวิต เป็น 1 ในภาพสุดท้ายของเขา van Goghวาดภาพนี้ภายหลังจากที่เขาได้โกนหนวดโกนเครา จึงเป็นภาพวาดที่หาได้ยาก เพราะภาพวาดส่วนใหญ่ของเขาเองจะมีหนวดมีเครา ภาพนี้ถูกขายเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ปี 1998 ที่ราคา 71.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ถ้าคิดปรับเป็นเงินเฟ้อมูลค่าอย่างน้อย 89 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
   
13 สุดยอดภาพวาดที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
11. ภาพวาดชื่อ Portrait of Adele Bloch-Bauer II (เมื่อปี 1912) โดยศิลปิน Gustav Klimt ภาพนี้ถูกขายเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ปีที่แล้ว ที่ราคา 87.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
   
13 สุดยอดภาพวาดที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
12. ภาพวาดชื่อ Massacre of the Innocents (เมื่อปี 1611) โดยศิลปิน Peter Paul Rubens ภาพนี้ถูกขายเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ปี 2002 ที่ราคา 49.5 ล้านปอนด์ (หรือถ้าปรับด้วยเงินเฟ้อมีค่าประมาณ 95 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
   
13 สุดยอดภาพวาดที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
13. ภาพวาดชื่อ Les Noces de Pierrette แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า "The Marriage of Pierrette" (เมื่อปี 1905) โดยศิลปิน Pablo Picasso ภาพนี้ถูกขายเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ปี 1989 ที่ราคา 300 ล้านฟรังก์ (ปรับเป็นมูลค่าปัจจุบันประมาณ 80.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
ที่มา http://atcloud.com 

10 อันดับวัตถุลึกลับโบราณ

10 อันดับวัตถุลึกลับโบราณ






ในช่วงหลายร้อยปีมานี้ มีการพบวัตถุลึกลับต่างๆ มากมายทั่วโลก ซึ่งวัตถุแต่ละอย่างไม่สอดคล้องกับทฤษฏีความเป็นไปของโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอารยธรรม, ความฉลาดของสมอง, ความคิดของมนุษย์ ฯลฯ และนี้คือ 10 วัตถุโบราณที่กำลังท้าทางคำตอบ ว่ามันคืออะไรกันแน่ และมันมีไว้เพื่ออะไร ไปชมกันได้เลยครับ
10.Klerksdorp sphere


หรือ The Grooved Spheres เป็นโลหะลึกลับที่มีการค้นพบกว่า 3 ทศวรรษที่ผ่านมา โดยคนงานเหมืองใน Ottosdal เมืองเล็กๆ ในประเทศแอฟริกาใต้ได้ขุดค้นพบวัตถุโลหะทรงกลมลึกลับจำนวนหนึ่ง ขึ้นมาในชั้นหินแร่ไพโรฟิลไลท์ โดยไม่ทราบที่มาและแหล่งกำเนิดได้ว่าแท้จริงแล้วมันคืออะไรกันแน่ มันเป็นวัตถุโลหะทรงกลมลึกลับนี้วัดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางรอบวงได้ประมาณ 1 นิ้วกว่าๆ (0.5-10 ซม.) และมี 2 แบบ คือโลหะสีน้ำเงินอ่อน มีสีขาวเป็นจุดๆ อีกแบบเป็นทรงกลวง ข้างในบรรจุข้าวสาลี และจากการตรวจสอบหาอายุวัตถุลึกลับนี้จากชั้นของหินพบว่ามันมีอายุนานถึง 2,800 ล้านปี!!(ในวีพีมีเดียอังกฤษบอกว่า 3,000 ล้านปี) ซึ่งมันเป็นยุคพรีแคมเบรียน(Precambrian)หรือบรมยุคกำเนิดโลก ดูจากยุคแล้วก็บอกได้แน่นอนว่าไม่มีวิทยาการที่สามารถใช้ไฟหลอมโลหะเป็นทรง กลมได้แน่ๆ แถมเป็นยุคที่ไม่มีมนุษย์อีก ทำให้จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครทราบคำตอบว่าใครเป็นทำโลหะทรงกลมเหล่านั้น?? และทำเพื่ออะไร?? ทำให้ตั้งข้อสมมุติฐานว่าเกิดจากธรรมชาติเท่านั้น.....

9 The Dropa Stones  

 


ในปี 1938 นักโบราณคดีกลุ่มหนึ่งนำโดยดร.ชีปูเตย (Dr. Chi Pu) ได้เข้าไปสำรวจเทือกเขาเป่ยอัน-คารา-ยูลา Baian-Kara-Ulaในเมืองจีน ได้ค้นพบสิ่งมหัศจรรย์ในถ้ำแห่งหนึ่งเข้า สิ่งมหัศจรรย์นี้เป็นวัตถุอารยธรรมโบราณฝังรูปร่างเหมือนแผ่นศิลาทรงกลมหลาย ร้อยแผ่นฝังอยู่ฝุ่นตามพื้นถ้ำ ศิลาเหล่านี้วัดเส้นผ่าศูนย์กลางได้ประมาณ 9 นิ้ว แต่ละแผ่นมี รอยสลักเป็นวงกลมที่ศูนย์กลาง แล้วแกะหมุนวนแบบลายก้นหอย ดูคล้ายแผ่นเสียง ทว่ามีอายุราว 10,000-12,000 ปี เมื่อเพ่งพินิจให้ดีก็จะพบว่า ที่จริงแล้ว เส้นสายเหล่านั้นเป็น อักษรภาพตัวเล็กจิ๋วที่บอกเล่าเรื่องราวที่เหลือเชื่อว่า ครั้งหนึ่งเคยมียานอวกาศบินมาตก ที่เทือกเขาแห่งนั้น ยานอวกาศที่ว่ามีนักบินเป็นเผ่าชนที่เรียกตัวเองว่า โดรปา ซึ่งมีการพบซากของมนุษย์ที่อาจเป็นลูกหลานของชนกลุ่มนี้ในถ้ำด้วย
8 The Ica Stones

ในช่วงทศวรรษ 1930 บิดาของดร.ฮาเวียร์ คาบรีบรา นักมานุษยวิทยาวัฒนธรรม ผู้ศึกษาเรื่องราวของชนพื้นเมืองในเปรู ได้พบหินหลายร้อยก้อนตามหลุมศพของชาวอินคาโบราณ ดร.คาบรีบราได้สานต่องานของพ่อ ด้วยการสะสมก้อนหิน ซึ่งเป็นหินภูเขาไฟเหล่านี้ได้มากถึงกว่า 1,100 ก้อน ซึ่งประมาณว่ามีอายุราว 500-1,500 ปี และต่อมารู้จักกันในชื่อก้อนหินอิคา หินเหล่านี้มีรอยสลัก บางชิ้นเป็นเรื่องราวทางเการแพทย์ เช่นผ่าตัด ตัดหัวใจ และปลูกถ่ายสมอง แต่ที่น่าทึ่งที่สุดก็คือ ภาพสลักรูปไดโนเสาร์ ทั้งบรอนโตซอ รัส ไทรเซอราท็อป สเตโกซอรัส และเทอโรซอร์ รูปของคนขี่ไดโนเสาร์ รูปกล้องโทรทัศน์ แล้วก็แผนที่โลกที่มองลงมาจากทางอากาศ ปัจจุบัน ยังไม่มีนักโบราณคดีคนใดอธิบายเรื่องนี้ได้ แม้นักวิชาการบอกว่า หินอิคาเป็นของที่กุขึ้นมาเอง แต่ก็ไม่เคยมีการ วิจัยเพื่อพิสูจน์ความจริงหรือหักล้างในเรื่องนี้ หินอิคาจึงเป็นก้อนหินที่น่าพิศวงต่อไป

7 Giant Stone Balls of Costa Rica

เมื่อทศวรรษ 1930 ขณะกำลังหักร้างถางพงในป่าทึบของ ประเทศคอสตาริกาเพื่อทำสวนกล้วย พวกคนงานได้เจอลูกหินขนาดต่างๆ หลายสิบลูก หลายลูกมีรูปร่างกลมดิก ขนาดก็แตกต่างกันไป มีตั้งแต่เท่า ลูกเทนนิสไปจนถึงลูกที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 8 ฟุต หนักถึง 16 ตัน เห็นได้ชัดว่าลูกหินพวกนี้ไม่ได้เกิดเองตามธรรมชาติ แต่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์ ปัญหาก็คือไม่ได้พบร่อยรอยมนุษย์ที่อยู่ใกล้เคียงแม้แต่น้อย แม้แต่เศษเครื่องปั้นดินเผาก็พบสักชิ้น มันไม่น่าจะเป็นฝีมือมนุษย์ เพราะว่าลูกบอลยักษ์กลมดิกมาก จากข้อสันนิษฐานพบว่าลูกบอลยักษ์เหล่านี้เกิดขึ้นก่อนมนุษย์จะเกิดเสียอีก คือเกิดในยุคแทร์เซียรีพีเรีนดซึ่งนานกว่า 40 ล้านปีมาแล้ว คนพวกไหนมาสร้างเอาไว้ ทำขึ้นมาด้วยจุดประ สงค์อันใด และที่สำคัญมีเครื่องไม้เครื่องมือหรือเทคโนโลยีอะไรจึงทำลูกหิน ได้กลมเกลี้ยงถึงปานนี้?

6 Oera Linda Book

เป็นหนังสือที่เขียนด้วยมือที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เทพนิยาย และศาสนา ที่ปรากฏออกมาเมื่อศตวรรษที่ 19 หนังสือนี้ประกอบด้วยเรื่องความหายนะ, ชาตินิยมที่ผู้หญิงเป็นผู้นำครอบครัว,เทพนิยาย พบว่ามีการภาษาที่ใช้เขียนเล่มเป็นภาษาของชนชาติยุโรปและของชนชาติอื่นๆ รวมอยู่ด้วย โดยเนื้อหาที่เขียนถูกรวบรวมและจัดเรียงโดย(เจ้า)แม่ผู้นำขนบธรรมเนียมท้อง ถิ่น ที่อุทิศตัวเป็นนักบวชหญิงของเฟรย่า ด้วยเหตุนี้ภาษาที่ใช้จึงเป็นภาษากรีกโบราณและภาษาฟีนิเชี่ยน ฉบับปัจจุบันถูกพบว่าเขียนในปี 1260 ส่วนฉบับที่เก่าแก่กว่าถูกพบว่าเขียนในช่วงระหว่าง 2194 ปีก่อนคริสตศักราช ถึง ค.ศ.803 ซึ่งสมัยนั้นไม่มีทางที่เขียนภาษาแบบนี้ได้แน่ๆ แต่กระนั้นก็มีการโต้แย้งว่ามันอาจเขียนขึ้นก่อนหน้านั้นแล้วทำให้ดูเหมือน โบราณเท่านั้น


5 Impossible Fossils


อย่างที่เราเคยเรียนกันสมัยมัธยม ซากฟอสซิลที่ปรากฏอยู่ตาม ก้อนหินนั้น ต้องใช้เวลาก่อตัวนานนับล้านปี แต่ก็มีฟอสซิลจำนวนหนึ่งซึ่งดูจะ ขัดกับหลักธรณีวิทยาหรือประวัติศาสตร์ ชนิดผิดฝาผิดตัวอย่างสุดๆ เช่น ฟอสซิลรูปมือประทับของมนุษย์ที่พบในชั้นหินปูน ซึ่งประมาณว่ามีอายุ 110 ล้านปี เป็นต้น แล้วยังมีสิ่งที่เชื่อว่าเป็นฟอสซิลนิ้วมือของมนุษย์ ที่พบในเขต อาร์กติกของแคนาดาอีก ชิ้นนี้มีอายุราว 100-110 ล้านปี ไม่แต่เท่านั้น ยังมีการพบรอยเท้ามนุษย์ ซึ่งมองเหมือนสวม รองเท้าแตะ ที่เมืองเดลตา มลรัฐยูทาห์ ในชั้นหินดินดาน อายุราว 300-600 ล้านปีด้วย


4  Out-of-Place Metal Objects

เมื่อ 65 ล้านปีก่อน ตามตำราบอกว่ามนุษย์ยังไม่เกิด และแน่นอนเรื่องช่างโลหะย่อมไม่มีแน่ แต่แล้วในฝรั่งเศสดันมีการค้นพบท่อโลหะ ทรงกึ่งรูปไข่ ที่ขุดพบในหินชอล์ก ยุคครีเตเชียสซึ่งเป็นยุคสุดท้ายของยุคเมโสโซอิค หรือ "ยุคไดโนเสาร์" ก่อนทวีปต่างๆ ก็ได้แยกออกจากกันเช่นในปัจจุบันได้อย่างไรกัน? ...นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างกรณีทำนองนี้มีมากมาย เช่น...เมื่อปี 1885 มีการพบท่อ โลหะในก้อนถ่านหิน ซึ่งเห็นได้ว่าทำขึ้นด้วยฝีมือของมนุษย์ ...เมื่อปี 1912 คนงานของโรงไฟฟ้าแห่งหนึ่งก็เจอกาน้ำโลหะใน ถ่านหินก้อนใหญ่ จากยุคหิน(Mesozoic)


3 Ark Of The Covenan

มีเรื่องเล่ากันว่า หีบพันธะสัญญาเป็นหีบที่สร้างขึ้นตามพระบัญชาของพระเจ้าเพื่อเป็นที่บรรจุ แผ่นหินจารึกบัญญัติ 10ประการของพระองค์ ที่ประทานแก่ โมเสส แน่นอนหลายคนที่ได้รู้เรื่องราวหีบพันธะสัญญานี้ได้บอกว่ามันน่าเหลือเชื่อ และหากเป็นเรื่องจริงละก็มันน่าจะเป็นวิทยาการอะไรสักอย่างที่ไม่มีในยุค นั้น ดังนั้นจึงมีข้อสันนิฐานตามมาว่า หีบพันธะสัญญาน่าจะ เป็นขวดแก้วไลเดน (Leyden Jar) ซึ่ง ปีเตอร์ แวน มุสเซนโบรค ได้คิดค้นขึ้น เมื่อปี ค.ศ. 1745 (เป็น อุปกรณ์เก็บสะสมประจุไฟฟ้า แบบง่าย) ซึ่งอุปกรณ์ทั้งสองอย่างนี้เกี่ยวกับไฟฟ้าทั้งสิ้น สมัยก่อนนั้นมีการใช้ไฟฟ้าได้อย่างไรกัน?? และจนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครพบหีบพันธะสัญญาที่แท้จริง ทำให้ไม่สามารถรู้ว่าหีบพันธะสัญญาคืออุปกรณ์อะไรกันแน่

2 The Coso Artifact


ขณะออกไปหาเก็บก้อนแร่และหินสวยงามบนเทือกเขาโอ ลัน คา ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย วอลเลซ เลน, เวอร์จิเนีย แม็กซีและไมค์ ไมค์เซล ได้เจอหินที่เข้าใจว่าเป็นแก้วผลึก ก้อนหนึ่ง ทั้งสามชอบใจมาก เพราะคิดว่าถ้าเอากลับไปขายที่ร้านอัญมณี ของตัวเอง คงได้ราคาพอควร แต่เมื่อกะเทาะออกดู ไมค์เซลก็เจอวัตถุชิ้นหนึ่งอยู่ข้างใน มองเหมือนเครื่องเคลือบสีขาว ตรงกลางมีแท่งโลหะแวววาว ผู้เชี่ยวชาญประมาณว่า ต้องใช้เวลาร่วม 500,000 ปี กว่าที่เจ้าก้อนผลึกนี้จะก่อตัวห่อหุ้มวัตถุนี้ไว้ภายในได้เช่นนี้ ทั้งๆ ที่วัตถุดังกล่าวมองเหมือนเป็นผลงานจากน้ำมือของมนุษย์ เมื่อตรวจสอบเจ้าแท่งโลหะดังกล่าวอย่างละเอียดด้วยการ เอกซเรย์ ก็พบว่ามันมีสปริงเล็กๆ ติดอยู่ที่ปลายข้างหนึ่ง บางคนที่ได้เห็น บอกว่ามันมองเหมือนหัวเทียนของเครื่องยนต์ แล้วหัวเทียนเข้าไปอยู่ในก้อนหินอายุ 5 แสนปีได้อย่างไร?

1.Piri Reis



แผนที่นี้มันแสดงภูมิศาสตร์สมบูร์แบบเกินกว่าแผนที่ธรรมดาทั่วไป อีกทั้งยังมีเส้นรุ้งเส้นแวงที่ชัดเจน ซึ่งเป็นไปตามหลักวิชาการแผนที่สมัยใหม่ทุกประการ มันแสดงถึงพิ้นที่ของทวีปอาฟริกาใต้อย่างละเอียดละออเป็นพิเศษ รวมไปถึงทวีปอื่นๆอย่างคร่าวๆ ซึ่งนับว่าเหลือเชื่อที่สุด เพราะถูกทำขึ้นหลังจากโคลัมบัสคนเก่ง ค้นพบโลกใหม่ เพียง 21 ปีเท่านั้น เวลาสั้นๆแค่นี้ไม่น่า จะมีใครสำรวจจนทำแผนที่ที่แทบจะครอบคลุมโลกแบบนี้ออกมาได้ ยิ่งน่าทึ่งกว่านี้อีกคือมันมีทวีปแอนตาร์กติก้าด้วย ซึ่งสมัยนั้นยังไม่มีการค้นพบทวีปดังกล่าวนี้เลย ( แอนตาร์กติก้าค้นพบราวๆ ปี 1800) เขาสามารถแสดงชายฝั่งของทวีปที่อยู่ภายใต้น้ำแข็งหนาเป็นกิโลได้อย่างไรหาก ไม่ใช้กรรมวิธีสมัยใหม่ทางภูมิศาสตร์ที่เรียกกันว่าการสำรวจจากทางอากาศ จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครอธิบายได้ว่าคนวาดแผน Piri Reis นี้มีวิธีการวาดอย่างไรถึงทำให้มีความสอดคล้องกับข้อมูลทางธรณีในยุค ปัจจุบัน ทั้งๆที่มันถูกวาดขึ้นในปี 1513

มาซาโกะ มิซูทานิ Masako Mizutani หน้า 20 อายุ 43

มาซาโกะ มิซูทานิ Masako Mizutani หน้า 20 อายุ 43

ผู้ที่สมญานามว่า “Japan’s Lady of Eternal Youth,” หรือ “หญิงสาวญี่ปุ่นผู้ที่มีความงามชั่วนิรันดร์”
คือ  มาซาโกะ มิซูทานิ (Masako Mizutani) นางแบบเกี่ยวกับความสวยความงาม ที่มีอายุถึง 43 ปี
ทำไมเจ๊อายุขนาดนี้แล้วยังสวยไม่สร่างเลย
วันนี้เราได้เคล็ดลับจากแม่ มาซาโกะมาบอก
  • กินอาหารเพื่อสุขภาพ, อาหารสดใหม่
  • กินอาหาร 4 มื้อต่อวันในปริมาณน้อย (เช้า เที่ยง บ่ายแก่ๆ เย็นตอนหัวค่ำ)
  • ดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อขจัดสารพิษ
  • แต่งหน้าน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
  • ใช้ครีมทาหน้า ทาผิว ที่มีส่วนผสมของวิตามินอี
  • ใช้ครีมกันแดดทุกครั้งเมื่อต้องโดนแสงแดด
  • ทำความสะอาดผิว และเพิ่มควาามชุ่มชื้นแก่ผิว ด้วย moisturizing regime ทุกคืนก่อ​​นนอน
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ และ การนอนหลับเพียงพอ ที่สำคัญไม่สูบบุหรี่จ๊ะ
43 year old japanese model masako mizutani 18 มาซาโกะ มิซูทานิ Masako Mizutani หน้า 20 อายุ 43 43 year old japanese model masako mizutani 17 มาซาโกะ มิซูทานิ Masako Mizutani หน้า 20 อายุ 43 43 year old japanese model masako mizutani 16 มาซาโกะ มิซูทานิ Masako Mizutani หน้า 20 อายุ 43 43 year old japanese model masako mizutani 15 มาซาโกะ มิซูทานิ Masako Mizutani หน้า 20 อายุ 43 43 year old japanese model masako mizutani 14 มาซาโกะ มิซูทานิ Masako Mizutani หน้า 20 อายุ 43 43 year old japanese model masako mizutani 13 มาซาโกะ มิซูทานิ Masako Mizutani หน้า 20 อายุ 43 43 year old japanese model masako mizutani 12 มาซาโกะ มิซูทานิ Masako Mizutani หน้า 20 อายุ 43 43 year old japanese model masako mizutani 11 มาซาโกะ มิซูทานิ Masako Mizutani หน้า 20 อายุ 43
43 year old japanese model masako mizutani 10 มาซาโกะ มิซูทานิ Masako Mizutani หน้า 20 อายุ 43
43 year old japanese model masako mizutani 9 มาซาโกะ มิซูทานิ Masako Mizutani หน้า 20 อายุ 43
43 year old japanese model masako mizutani 8 มาซาโกะ มิซูทานิ Masako Mizutani หน้า 20 อายุ 43
43 year old japanese model masako mizutani 7 มาซาโกะ มิซูทานิ Masako Mizutani หน้า 20 อายุ 43
43 year old japanese model masako mizutani 6 มาซาโกะ มิซูทานิ Masako Mizutani หน้า 20 อายุ 43
43 year old japanese model masako mizutani 5 มาซาโกะ มิซูทานิ Masako Mizutani หน้า 20 อายุ 43
43 year old japanese model masako mizutani 4 มาซาโกะ มิซูทานิ Masako Mizutani หน้า 20 อายุ 43
43 year old japanese model masako mizutani 3 มาซาโกะ มิซูทานิ Masako Mizutani หน้า 20 อายุ 43
43 year old japanese model masako mizutani 2 มาซาโกะ มิซูทานิ Masako Mizutani หน้า 20 อายุ 43
43 year old japanese model masako mizutani 1 มาซาโกะ มิซูทานิ Masako Mizutani หน้า 20 อายุ 43
43 year old japanese model masako mizutani มาซาโกะ มิซูทานิ Masako Mizutani หน้า 20 อายุ 43

ที่มา
http://www.redflava.com/2011/interesting/masako-mizutani/
http://en.rocketnews24.com/2012/04/02/beautiful-43-year-old-japanese-model-masako-mizutani-makes-it-big-on-chinese-tv-but-something-seems-different/

“คดีซอมบี้” ลามถึงจีน โชเฟอร์รถบัสคลั่งกัดใบหน้าหญิงสาว

“คดีซอมบี้” ลามถึงจีน โชเฟอร์รถบัสคลั่งกัดใบหน้าหญิงสาว


ภาพเหตุโจมตีที่ถูกเผยแพร่ตามเว็บไซต์ต่างๆ
       นิวยอร์ก เดลิเมล์ - เหตุ “มนุษย์กินคน” มีข่าวว่าแผ่ลามไปถึงจีนแล้ว หลังสื่อมวลชนแดนมังกรระบุว่าคนขับรถบัสขี้เมารายหนึ่ง ลงมือโจมตีและกัดใบหน้าหญิงสาวที่เป็นเหยื่อจนเป็นแผลเหวอะหวะเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
      
       เว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์เซียงไฮ้ เดลี รายงานว่าชายคนดังกล่าวที่มีชื่อว่า “นายตง” จู่ๆ ก็วิ่งขึ้นไปบนถนนเส้นหนึ่งใกล้สถานีรถบัสในเมืองอู๋ไห่ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน เมื่อเวลา 14.00 น.เมื่อวันอังคารที่แล้ว (26) และทำการหยุดรถของเหยื่อที่แล่นผ่านมาพอดี
      
       จากนั้นชายรายนี้ปีนขึ้นไปบนกระโปรงรถ และเริ่มชกเข้าที่กระจกหน้ารถอย่างแรง เมื่อเห็นดังนั้นหญิงที่ชื่อว่านางสาวดู เห็นท่าไม่ดี จึงพยายามลงจากรถเพื่อหลบหนี แต่เคราะห์ร้ายเธอถูกนายตง กระโจนเข้าใส่จนล้มลงและเขาก็เริ่มกัดเข้าที่ใบหน้าของเธอจนเกิดแผลเหวอะหวะ
      
       ภาพถ่ายที่โพสต์ลงบนเว็บไซต์ Chronicle.com ของมาเลเซียและเว็บไซต์อื่นๆ เป็นภาพของคนขับรถบัสผู้บ้าคลั่งกำลังนั่งคร่อมบนร่างของเหยื่อที่ไม่มีทาง ช่วยเหลือ ขณะที่ผู้เห็นเหตุการณ์บอกว่าพวกเขาพยายามเข้าไปหยุดยั้งผู้ก่อเหตุ แต่นายตง ดูเหมือนกำลังบ้าหนักและมีพละกำลังมากกว่าพวกเขา
      
       รายงานข่าวระบุว่า ท้ายที่สุดแล้วตำรวจก็เข้ามาช่วยเหลือนางสาวดู เอาไว้ได้และจับกุมผู้ก่อเหตุ ต่อมาก็มีการส่งตัวเหยื่อไปยังโรงพยาบาลท้องถิ่นแห่งหนึ่งและเธอจำเป็นต้อง เข้ารับศัลยกรรมใบหน้า
      
       ทั้งนี้ ตำรวจระบุว่าชายคนดังกล่าวตั้งวงดื่มสุรากับเพื่อนๆ จนเมามายอย่างหนัก ก่อนลงมือโจมตี

ที่มา : http://www.manager.co.th/Around/ ... ewsID=9550000081116

Star-Eyed Child เด็กหญิงที่มีตาเป็นดวงดาว

Star-Eyed Child เด็กหญิงที่มีตาเป็นดวงดาว





SCP-134 - Star-Eyed Child

คลาส : Safe

SCP-134 อยู่ในห้องที่มีขนาด 6*8 เมตร
SCP-134 ตาบอดไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อย่างถาวร จึงจำเป็นต้องจัดห้องให้เป็นพิเศษ ข้าวของภายในห้องทุกชิ้นจะต้องปลอดภัยกับตัวเธอ
SCP-134 สามารถที่จะจดจำสิ่งของต่าง ๆ หรือที่ ๆ สิ่งของวางอยู่ได้ด้วยการสัมผัส และความจำของเธอ
บุคลากรคนไหนก็ตามที่ได้ทำการย้ายเฟอนิเจอร์ภายในห้องของเธอ หรือแกล้งเธอจะต้องถูกย้ายไปยังไซร์อื่น

ภายในห้องของ SCP-134 จะประกอบไปด้วย
เตียงนอนที่มีการขยายขนาดเพิ่ม 1 เตียง (เธอคงจะโตกว่าในภาพแล้วละ) ผ้าพันคอและหมอนลาย "Hello Kitty" 
(แม้ว่าจะตาบอด แต่SCP-134 ก็สามารถที่จะรู้สึกแบบที่ลวดลายบนหมอน และชอบมัน)
ตู้เสื้อผ้า 1 ตู้ที่มีลิ้นชักขนาดเล็กๆ และจะต้องมีตัวอักษรเบรลล์ติดอยู่ด้วย
บ้านตุ๊กตา 1 หลัง
ตุ๊กตาสัตว์ 8 ตัว
หนังสือเด็กที่เป็นภาษาเบรลล์
โต๊ะกับเก้าอีกอย่างละ 1 ตัว
ดินน้ำมันและตัวต่อเลโก้

SCP-134 อาจจะขอสิ่งของเพิ่มได้ แต่ก็ต้องได้รับการอนุมัติจากบุคลากรระดับ 3 หรือสูงกว่าก่อน หากรายการไหนที่มีเพิ่มเข้ามาในห้องของเธอ จะต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้าก่อนเพื่อให้ SCP-134 พร้อมกับสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ
SCP-134 จะต้องได้รับการศึกษาทั่วไปอย่างเหมาะสมกับตัวของเธอ

รายละเอียด
SCP-134 เป็นเด็กสาวเอเชียที่มีอายุระหว่าง █ - █  มีผมสีดำและรูปร่างเล็ก เหมือนกับเด็กสาวคนอื่น ๆ
เพียงแต่ที่ตาของ SCP-134 มีลักษณะคล้ายหลุมดำ ปกคลุมด้วยเนื้อเยื่อโปร่งใสในลักษณะคล้ายพังพืดบนตาของคน จากการทดสอบกับจักษุวิทยาได้แสดงให้เห็นว่าเมมเบรนอยู่ระหว่าง 150 และ 200 มีความยืดหยุ่นมากกว่าคนทั่วไป
SCP-134 ไม่มีเปลือกตา ทำให้ไม่สามารถกระพริบตาได้ หรือ SCP-134 สามารถมองเห็นอะไรผ่านพื้นที่สีดำเหล่านี้
ความพยายามในการตรวจสอบด้านหลังของลูกตา SCP-134 นั้นล้มเหลว เป็นจอตาไม่สามารถมองเห็นได้ในสภาพแสงปกติ จะปรากฏสีดำสนิท แต่ในความมืดนั้น ไฟสลัวๆ ๆ จำนวนมากสามารถมองเห็นภายในได้ 
จึงได้ศึกษาต่อกับการถ่ายภาพระยะยาวกับการเปิดรับ และขยายแสงไฟพบว่าจริง ๆ แล้วดวงดาว  และกาแลคซี่  สามารถมองเห็นได้ราวกับว่า SCP-134 กำลังมองออกไปในห้วงอวกาศอยู่

การตรวจสอบด้วยเครื่องโซนาร์ ได้เปิดเผยว่าไม่มีอะไรที่ผิดปกติในสมองของ SCP-134 อย่างไรก็ตาม [DATA EXPUNGED] ได้ยืนยันว่าสิ่งที่อยู่ในเบ้าตาของเธอเป็นห้วงอวกาศที่อยู่ห่างไกล สิ่งเหล่านี้ไม่มีผลกระทบใด ๆ กับการเคลื่อนไหวหรือการกินของเธอ

SCP-134 ไม่ได้แสดงพฤติกรรมใด ๆ ที่เป็นอันตราย และดูเหมือนว่าจะไม่ทราบถึงสิ่งที่เป็นอยู่ SCP-134 มีพฤติกรรมคล้ายกับเด็กออทิสติก ทั้งทางพฤติกรรมและการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ

SCP-134 ถูกนำตัวเข้าสถาบันตามรายงานของ ██████████ สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าใน███████ โยโกฮาม่า หระเทศญี่ปุ่น
SCP-134 ได้อยู่ในความดูแลของสถาบัน ตั้งแต่ 20 ██ เจ้าหน้าที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอ้างว่า SCP-134 อายุ █ ปี
ตั้งแต่นั้นมา SCP-134 ก็ได้เรียนรู้การพูดภาษาอังกฤษ นอกเหนือไปจากภาษาญี่ปุ่น และและอักษรเบรลล์แก่เธอ

10 บทความปริศนาจากประวัติศาสตร์โลก

10 บทความปริศนาจากประวัติศาสตร์โลก

บนโลกใบนี้ เต็มไปด้วยปริศนาต่าง ๆ มากมายปรากฎเป็นตัวอักษร บุคคล หรือสถานที่ลึกลับที่นักโบราณคดียังหาคำตอบไม่ได้ ซึ่งผมว่าชาว Mythland เองก็คงทราบมาบ้างแล้ว

อันดับที่ 10 Rongorongo



Rongorongo รองโกรองโก้ เป็นอักษรภาพที่แม้ปัจจุบัน ก็ไม่มีใครหน้าไหนอ่านออก ซึ่งมันสลักในไม้กระดานปักหลุมศพ ของชาวเมืองราโน รากาผม ซึ่งอาศัยในเกาะเล็กๆ ที่ตั้งในกลางมหาสมุทรแปซิฟิค นอกจากภาษาแล้วนักโบราณคดียังไม่รู้เลยว่า ชาวพื้นเมืองนี้อาศัยเกาะนี้อย่างไร ในเมื่อมันไม่มีอาหาร ไม่มีพื้นบ้าน หรือกระทั่งประวัติศาสตร์ ก็ไม่มีใครกล่าวถึงพวกเขาเลยสักบท

อันดับที่ 9 Helike เมืองที่หายไป



กวีชาวกรีกที่โด่งดัง Pausanias บันทึกไว้ว่า เมืองที่ชื่อ Helike ถูกแผ่นดินไหวก่อน ทำให้กลายเป็นเมืองร้าง แล้วตามด้วยสึนามิรุนแรง ที่กวาด ทุกอย่างพินาศเกินกว่าจะแก้ไข พวกอาร์เคเดียน พยายามบูชาเทพแห่งทะเล อย่างโพไซดอนหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่มีใครพบเมืองแห่งนี้อีกเลย จนปี 1861 นักโบราณคดีได้ พบเหรียญบรอนซ์ ที่เชื่อกันว่ามาจากเมือง Helike และในปี 2001 พวกเขาได้พบ ซากของเมือง Helike ใต้แอตแลนติส

อันดับที่ 8 The Bog Bodies



แม้แต่ CSI (เคยทำเป็นหนัง) ยังยอมแพ้ กับการสืบเรื่อง Bog Bodies เมื่อได้มีการค้นพบศพกว่าร้อย แถบด้านเหนือของยุโรป ล้วนเป็นศพที่ถูก รักษาอย่างดี บางศพมีอายุถึง 2,000 ปี ทุกศพถูกจัดด้วยท่าทางคล้าย กำลังพยากรณ์อะไรบางอย่าง ท่าทางเช่นนั้นทำให้คนเชื่อกันว่า พวกเขา ถูกจับมาบูชายัญ แต่ก็ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด ว่าคืออะไรกันแน่???

อันดับที่ 7 ความพ่ายแพ้ของจักรพรรดิ Minoans



นักประวัติศาสตร์ล้วนแล้วแต่สงสัยว่าอะไร ทำให้จักรวรรดิโรมันต้องแตก และอะไร ทำให้จักรพรรดิ Minoans สูญเสียอาณาจักรของพระองค์ เชื่อกันว่าในยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของจักรพรรดิ ได้เกิดการระเบิดของภูเขาไฟ ผลการตรวจสอบผืนดิน บริเวณนั้น ทำให้นักโบราณคดีคาดเดาว่า การระเบิด ครั้งใหญ่ทำให้อาณาจักรต้องล่มสลายลง แต่ก็เป็นแค่เดา เพราะมันไม่มีหลักฐาน ว่ามีเศษขี้เถ้าภูเขาไฟอยู่บริเวณนี้เลย

อันดับที่ 6 The Carnac Stones



ถ้าเชื่อว่าสโตนเฮ้นจ์ยิ่งใหญ่แล้ว อนุสรณ์ Carnac Stone ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ที่ชายฝั่งด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ประเทศฝรั่งเศส เต็มไปด้วย หินกว่า 3,000 ก้อนเรียงรายกัน เป็นระยะทางถึง 12 กิโลเมตร จากความเชื่อท้องถิ่น เชื่อกันว่าหินนี้มีประวัติศาสตร์สัมพันธ์ กับพ่อมดเมอร์ลิน ส่วนหลักฐานจากนักวิทยาศาสตร์ ที่ศึกษาหินนี้มากว่า 30 ปี พวกเขาคาดเดาว่า หินเหล่านี้น่าจะไว้ใช้จับแรงสั่นสะเทือน ของแผ่นดินไหว แต่เรื่อง คนสร้างนั้น ไม่มีใครรู้

อันดับที่ 5 ใครคือโรบินฮู้ด



ตำนานน่า สนใจของป่าเชอร์วู้ด กษัตริย์ร้าย ๆ และดาบศักดิ์สิทธิ์เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก แต่นักประวัติศาสตร์ไม่ค่อยแน่ใจว่ามีโรบิน ฮู้ด ตัวจริงหรือไม่ ความเป็นไปได้น่ะมีอยู่ แต่ก็ยังไม่มีใครหาหลุมฝังศพ ของวีรบุรุษสุดเท่คนนี้พบเสียที หรือว่ามันจะเป็นแค่ตำนานกันนะ แต่จากการสันนิษฐาน ว่ากัน ว่าโรบิน ฮู้ดเป็นชายที่อาศัยอยู่ในเวคฟิลด์ ประเทศอังกฤษ ในปี 1290 และต่อสู้ กับกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ 2 เพื่อเจ้านายของเขา แต่ต้องพ่ายแพ้ และหนีเข้าป่าบาร์นเดล ซึ่งถนนเกร์ทนอร์ทตัดผ่าน ซึ่งเหมาะแก่การตักปล้น และสิ้นสุดในปี 1429 ซึ่งไม่รู้จะเป็นโรบิน ฮู้ดหรือไม่ แต่เรารู้จักเขาใน นามโจรคุณธรรมปล้นคนรวยช่วยคนจน

อันดับที่ 4 กองทัพที่หายไปของชาวโรมัน



หลังจากกองทัพของเครซซุส แห่งโรมันพ่ายแพ้ ต่อพวก Parthians สิ่งที่น่าตกใจก็เกิดขึ้น เมื่อจู่ ๆ พวกเขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย และอีก 17 ปีต่อมา นักประวัติศาสตร์ชาวจีน ได้บันทึกเรื่องราวของกองทัพประหลาด ที่คล้ายกับทหารโรมัน ที่อยู่ๆ ก็ปรากฏตัวที่ทะเลทรายโกบี จากการตรวจสอบดีเอ็นเอของแพทย์ ยุคปัจจุบัน พวกเขาพบว่าดีเอ็นเอเหล่านั้นไม่ใช่ของชาวจีน แต่เป็นของชนต่างชาติ ผิวขาว ผมทอง และนัยน์ตาสีเขียว และมันคืออะไรกันแน่

อันดับที่ 3 The Voynich Manuscript



The Voynich manuscript คือ ชื่อของหนังสือ ที่อ่านยากที่สุดในโลกมี อายุ 500 ปี และถูกค้นพบที่ห้องสมุดเก่าแก่ของโรม มีทั้งหมด 240 หน้า เขียนเป็นภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ และยังคงเป็นปริศนามาจนทุกวันนี้ จากการคาดเดาเชื่อกันว่ามันเป็นหนังสือกฎหมาย... แต่ในหลายหน้า ก็มีรูปภาพภายในเล่ม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาพของพืชพันธ์คล้ายสมุนไพร และแผนผัง ดาราศาสตร์ จึงเข้าใจว่า น่าจะเป็นสมุดบันทึกทางสายวิทยาศาสตร์มากกว่า

อันดับที่ 2 The Tarim Mummies



จากการตรวจสอบบริเวณตะวันตกของประเทศจีน โดย Tarim Basin นักโบราณคดี เขาได้พบมัมมี่กว่า 100 ตัว ที่มีอายุถึงกว่า 2,000 ปี ในตอนแรก ทุกคนคิดว่าเป็นมัมมี่ชาวจีน แต่ต่อมาเมื่อศาสตราจารย์ Victor Mair ได้ตรวจสอบดีเอ็นเอของเหล่ามัมมี่ ผลที่ออกมา กลับกลายเป็นว่าพวกมัมมี่ มีดีเอ็นเอของชาวยุโรป ดังนั้น จึงเป็นที่น่าแปลกใจว่าทำไมคนยุโรปมาลงเอย เป็นมัมมี่อยู่ที่จีนได้...

อันดับที่ 1 การหายไปของอารยธรรม Indus Valley



Indus Valley คืออารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุด ของอินเดีย เชื่อกันว่าแพร่หลายจากอินเดียตะวันตก ไปจนถึงอัฟกานิสถานเลยทีเดียว มีประชากรในชุมชน อยู่ถึง 5 ล้าน และเจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่าอารยธรรมไหน ๆ เมื่อนักโบราณคดีมาพบ พวกเขาประทับใจอารยะธรรมนี้มาก แต่ที่น่าแปลกใจคือ...ไม่มีใครระบุได้เลยว่า อารยะธรรมสิ้นสุดที่ไหน อย่างไร ไม่มีหลักฐานของการสู้รบใดๆ อารยะธรรมแห่งนี้เพียงแต่สูญสลายไปอย่างนั้นหรือ? ไม่มีใครตอบ คำถามนี้ได้เลย


ที่มา : toptenthailand.com